แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 34
1
โรคความดันโลหิตสูง...ภัยเสี่ยงที่ควรเลี่ยงในผู้สูงอายุ

ในช่วงสูงวัย ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่นของหลอดเลือดที่ลดลง หรือการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่เสื่อมสภาพลง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง และหากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โรคนี้อาจนำไปสู่ภัยร้ายที่อันตรายถึงชีวิตได้


ทำไมความดันโลหิตสูงถึงเป็นภัยร้ายในผู้สูงอายุ?

โรคความดันโลหิตสูงเป็น "ภัยเงียบ" ที่มักจะไม่มีอาการในระยะแรก แต่จะค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายในอย่างช้าๆ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ในระยะยาว เช่น

โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก (Stroke): ความดันโลหิตที่สูงจะทำให้หลอดเลือดในสมองแตกหรืออุดตันได้ง่าย

โรคหัวใจ: หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้นและเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย

โรคไตวายเรื้อรัง: ความดันโลหิตที่สูงจะทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้ไตเสื่อมสภาพลง

ภาวะสมองเสื่อม: การไหลเวียนของเลือดในสมองไม่ดี ส่งผลให้ความจำและการทำงานของสมองลดลง


การป้องกันและดูแลตัวเอง

สำหรับผู้สูงอายุ การป้องกันและควบคุมความดันโลหิตสูงสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ดังนี้

ควบคุมอาหาร: ลดการทานอาหารรสจัดและเค็มจัด และเพิ่มการทานผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย, ผักใบเขียว

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ควรเลือกการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเร็ว หรือการยืดเหยียด

พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่จะช่วยควบคุมความดันโลหิตได้

รับประทานยาตามแพทย์สั่ง: หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาด

ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ: ควรมีเครื่องวัดความดันโลหิตไว้ที่บ้าน เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูงได้ค่ะ

2
การจัดฟันเด็ก ช่วยทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เด็กๆหลายคนมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะอาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ถูกวิธี ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องสอนให้บุตรหลานของท่านรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี แน่นอนว่าส่งผลดีต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิตของเด็ก  ซึ่งในเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของการสบฟันหรือลักษณะฟัน ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้เหมือนผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าเด็กจะยังมีฟันน้ำนมอยู่ก็ตาม เพราะเป็นการแก้ปัญหาฟันผิดปกติของเด็กๆ โดยไม่ต้องรอให้ถึงวัยรุ่น โดยช่วยให้สุขภาพฟันดี และรองรับการขึ้นของฟันแท้ในอนาคตได้ เพราะฟันน้ำนมของเด็กส่วนใหญ่ พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่แท้จริงแล้ว ฟันน้ำนมของลูกนั้น มีความสำคัญมากพอๆกับฟันแท้ และฟันน้ำนมยังส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้อีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กสูญเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร


แน่นอนว่า ฟันแท้จะมีการขึ้นที่ผิดปกติอย่างแน่นอน บางรายอาจจะเกิดภาวะฟันหาย เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติ สำหรับเด็กที่ปัญหาเกี่ยวกับฟันไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟันหน้ายื่น เพราะเสี่ยงต่อการแตกหักของตัวฟัน เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม ตกบันได มีฟันสบผิดปกติ เพราะอาจทำให้ขากรรไกรเติบโตแบบไม่สมดุลกัน ช่องฟันห่าง เพราะช่วยปรับให้ซี่ฟันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และง่ายต่อการขึ้นของฟันแท้ขากรรไกรไม่ได้สัดส่วนกับหน้า เพราะเจริญเติบโตผิดปกติ หรือวิธีการกลืนผิดปกติ เด็กที่มีพฤติกรรมดูดนิ้ว กัดเล็บ กัดสิ่งของเป็นประจำ นอนหายใจทางปาก เด็กเหล่านี้แน่นอนว่า มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันอย่างแน่นอน และการที่เด็กมีปัญหาในเรื่องของฟันนั้น อาจจะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ เนื่องจากเด็กอาจจะรับประทานอาหารได้ไม่สะดวก เนื่องจากฟันมีปัญหาและส่งผลให้กาบดเคี้ยวอาหารทำได้ไม่ดี และอาจจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กด้วย ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ที่จะช่วยทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กนั้น แน่นอนว่า กิจวัตรประจำวันของเด็ก จะต้องไปเรียนหนังสือ ทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งถ้าหากเด็กมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน แน่นอนว่า กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเด็กมีฟันหลอ อาจจะทำให้เด็กโดนเพื่อนล้อได้ ทำให้รู้เข้าสังคมได้ยาก และอาจจะทำให้เด็กไม่กล้าเข้าสังคม นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการที่เด็กมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน นอกจากนี้ในเรื่องของบุคลิกภาพก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเด็กได้ เพราะการที่เด็กมีรอยยิ้มที่สดใส สมวัย ก็จะทำให้เด็กรู้สึกมีความมั่นใจในตัวเอง ส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงมีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพฟันของเด็ก พ่อแม่ควรแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี โดยสอนให้ลูกแปรงฟันให้สะอาดอย่างถูกวิธี สอนให้เด็กบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ ประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน บ้วนปากด้วยฟลูออไรด์ก่อนนอนทุกคืน


ช่วยสอนให้ลูกขัดฟันเพื่อทำความสะอาดในซอกที่เข้าถึงยากและพาเด็กไปพบทันตแพทย์ทุกหกเดือนเพื่อตรวจสุขภาพฟัน ในเรื่องของการช่วยให้ลูกรู้จักวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้อง พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสร้างทัศนคติให้แก่ลูกเพื่อที่ลูกจะได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ก่อนที่พ่อแม่ผู้ปกครอง จะพาเด็กมาพบกับทันตแพทย์ พ่อแม่ควรพูดแต่สิ่งดีๆ ไม่พูดข่มขู่ให้เด็กกลัว เพราะไม่เช่นนั้น ลูกจะมีทัศนคติไม่ดีกับทันตแพทย์ และอาจจะไม่ยอมเข้ารับการรักษา

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้เด็กมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวสุขภาพช่องปากและฟัน ควรพาลูกหลานมาตรวจและทำฟันตั้งแต่ตอนที่เด็กยังไม่มีฟันผุหรือปวดฟัน เพราะจะทำให้เด็กไม่กลัวการทำฟันหรือกลัวทันตแพทย์ และยังเป็นโอกาสดีในการรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ในเรื่องของวิธีการดูแลสุขภาพฟันที่ถูกต้อง และเพื่อให้ลูกน้อยคุ้นเคยกับบรรยากาศในห้องทำฟัน และการพบทันตแพทย์เพื่อทำฟัน เด็กจะได้ไม่กลัวและมีทัศนคติที่ดีในการไปหาหมอฟัน ถือเป็นการปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อยด้วย เพื่อให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจฟันหรือจะเป็นการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีก็จะช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี หากบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษากับทางคลินิกบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน

3
6 เคล็ดลับเลือกของขวัญจับฉลากปีใหม่ ที่คนรับเห็นแล้วต้องว้าว

ของขวัญจับฉลากปีใหม่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่หลายคนตั้งตารอ แต่การเลือกของขวัญให้ถูกใจคนหมู่มากก็เป็นเรื่องท้าทายไม่น้อย ลองใช้ 6 เคล็ดลับนี้ดูนะคะ รับรองว่าของขวัญของคุณจะเป็นที่ถูกใจและสร้างรอยยิ้มให้กับคนรับแน่นอน


1. กำหนดงบประมาณที่ชัดเจน
ก่อนอื่นต้องตกลงกันให้ดีว่าของขวัญควรมีราคาเท่าไหร่ การกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ทุกคนไม่ลำบากใจ และได้ของขวัญที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน


2. เลือกของที่ใช้ได้จริงและเป็นกลาง
ของขวัญที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นของที่หรูหรา แต่ควรเป็นของที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดอุปกรณ์เครื่องเขียน, แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ, อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน หรือกระเป๋าผ้าดีไซน์เก๋ๆ


3. เน้นของกินที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ
ของขวัญประเภทนี้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เช่น คุกกี้โฮมเมด, ขนมนำเข้า, ผลไม้พรีเมียม หรือชุดชาสมุนไพร เพราะทุกคนชอบกินของอร่อย และของขวัญจะหมดไป ไม่ต้องเก็บให้เป็นภาระ


4. เพิ่มลูกเล่นด้วยของขวัญ Gadget
ถ้าเล่นจับฉลากกันในกลุ่มวัยรุ่นหรือคนทำงาน Gadget หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นของขวัญที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น เช่น ลำโพงบลูทูธ, Power Bank หรือไฟตั้งโต๊ะแบบพับได้


5. ของขวัญที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ลองเลือกของขวัญที่ช่วยให้คนรับรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดในการทำงาน เช่น เทียนหอม, สเปรย์น้ำมันหอมระเหย หรือชุดบำรุงผิวหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจได้


6. ตกแต่งบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม
สุดท้าย อย่าลืมให้ความสำคัญกับการห่อของขวัญและบรรจุภัณฑ์ การตกแต่งให้สวยงามและน่าสนใจจะช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับผู้รับได้ตั้งแต่แรกเห็น

4
การสร้างอาชีพเสริม จากอาหารที่บ้านโดยใช้การตลาดออนไลน์ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์สู่ความสำเร็จ

การเปลี่ยนอาหารทำเองที่บ้านให้กลายเป็นธุรกิจเสริมที่ทำกำไรได้ง่ายกว่าที่เคยด้วยการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าคุณจะเชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่ อาหารทำเองที่บ้าน หรือของขบเคี้ยวที่แปลกใหม่ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างรายได้เสริมจากอาหารที่บ้านโดยใช้การตลาดออนไลน์เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มรายได้ของคุณ

นี่คือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นและทำการตลาดธุรกิจอาหารทำเองที่บ้านของคุณทางออนไลน์

1. ระบุกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ก่อนจะขายอาหารที่คุณทำเอง ให้ระบุความเชี่ยวชาญของคุณก่อน คุณเก่งเรื่องเบเกอรี่ อาหารเพื่อสุขภาพ หรือสูตรอาหารแบบดั้งเดิมหรือไม่ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ลูกค้าของคุณเป็นบุคคลที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญที่ยุ่งวุ่นวาย หรือครอบครัวที่มองหาอาหารรสชาติโฮมเมดหรือไม่ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณจะช่วยปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดของคุณได้

2. สร้างการปรากฏตัวออนไลน์ที่น่าดึงดูด
หากต้องการดึงดูดลูกค้า คุณต้องมีตัวตนที่แข็งแกร่งบนอินเทอร์เน็ต ดังต่อไปนี้:
โซเชียลมีเดีย : แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Instagram และ TikTok เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดแสดงอาหารของคุณ ใช้รูปภาพคุณภาพสูง วิดีโอที่น่าสนใจ และคำรับรองจากลูกค้า
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ : การขายผ่านตลาดออนไลน์เช่น Shopee, Lazada หรือแม้แต่แอปส่งอาหารสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ซื้อได้มากขึ้น
เว็บไซต์หรือบล็อก : เว็บไซต์เพิ่มความน่าเชื่อถือและสามารถใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสั่งซื้อออนไลน์และการโต้ตอบกับลูกค้า

3. ใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
การตลาดโซเชียลมีเดีย
โพสต์รูปภาพและวิดีโอที่น่ารับประทานเป็นประจำ
ใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง (เช่น #homemadefood, #supportlocal)
มีส่วนร่วมกับผู้ชมของคุณผ่านความคิดเห็น วิดีโอสด และเซสชั่นถาม-ตอบ
การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO)
เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของคุณด้วยคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง
เขียนโพสต์บล็อกเกี่ยวกับเทรนด์อาหาร สูตรอาหาร หรือประสบการณ์ของลูกค้า
ผู้ทรงอิทธิพลและบทวิจารณ์ของลูกค้า
ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลด้านอาหารท้องถิ่นเพื่อวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ของคุณ
กระตุ้นให้ลูกค้าที่พึงพอใจแบ่งปันประสบการณ์และแท็กธุรกิจของคุณ

4. เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด
ข้อเสนอพิเศษดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย ลองทำดังนี้:
ส่วนลดสำหรับผู้ซื้อครั้งแรก
โปรแกรมอ้างอิง
โปรโมชั่นพิเศษประจำฤดูกาลมีระยะเวลาจำกัด

5. การรับประกันคุณภาพและความพึงพอใจของลูกค้า
ความสม่ำเสมอของรสชาติและการนำเสนอสร้างความภักดีของลูกค้า ต้องแน่ใจว่ามีสุขอนามัยและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์อยู่เสมอ การบริการลูกค้าที่รวดเร็วและเป็นมิตรยังช่วยรักษาชื่อเสียงในเชิงบวกอีกด้วย

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารที่บ้านสามารถเป็นธุรกิจเสริมที่ทำกำไรได้ด้วยกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เหมาะสม ด้วยการใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย SEO และโปรโมชั่น คุณสามารถเปลี่ยนความหลงใหลในอาหารของคุณให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนได้ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สม่ำเสมอ และเฝ้าดูธุรกิจของคุณเติบโต


5
พูดคุยเรื่องทั่วไป / Doctor At Home: เอดส์
« เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2025, 16:44:45 น. »
Doctor At Home: เอดส์

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อเอชไอวี* ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งมีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้มีมากในเลือด น้ำอสุจิ และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ จึงสามารถแพร่เชื้อได้โดย

1. ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน (ในชายรักร่วมเพศ หรือเกย์) เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปากที่เกิดแผลหรือรอยแยก

2. ทางเลือด เช่น การได้รับการถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ การแปดเปื้อนผลิตภัณฑ์จากเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น

ส่วนการใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน เป็นต้น) ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัก การเจาะหู อาจมีโอกาสแปดเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติดโรคได้ก็ต่อเมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายมีจำนวนมากพอ

3. การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอด และระยะเลี้ยงดูหลังคลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดาประมาณร้อยละ 20-50

เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีการเพิ่มจำนวน สามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) ได้หลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์ และจะตรวจพบสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ได้หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์

ผู้ที่ตรวจพบสารภูมิต้านทานในเลือดร้อยละ 90 จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด ซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม

*เชื้อเอชไอวีมี 2 ชนิด (serotype) ได้แก่ HIV-1 และ HIV-2 การระบาดทั่วโลกส่วนใหญ่ (รวมทั้งประเทศไทย) เกิดจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ได้อีกหลายชนิด ส่วน HIV-2 พบระบาดในแอฟริกา


อาการ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีอาการแสดงตามระยะของโรค ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกันดังนี้

1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี (primary HIV infection หรือ acute retroviral syndrome) ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างสารภูมิต้านทาน กินเวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ หลังติดเชื้อผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ มีแผลในปาก มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เหงื่อออกตอนกลางคืน คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ (บางรายเพียง 2-3 วัน บางรายอาจนานถึง 10 สัปดาห์) แล้วหายไปได้เอง

เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้ทั่ว ๆ ไป ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองและไม่ได้ไปพบแพทย์ หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้น ผู้ติดเชื้อจึงอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้

2. ระยะเรื้อรังหรือระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ (chronic HIV/clinical latent infection) ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ และแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป โดยที่ยังคงมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ จะทราบได้ก็ด้วยการตรวจเลือดซึ่งจะพบเชื้อเอชไอวีและสารภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนี้

ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่เชื้อเอชไอวีจะแบ่งตัวเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลาย CD4 จนมีจำนวนลดลง โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มม. จากระดับปกติ (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย (เข้าสู่ระยะที่ 3) ทั้งนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นกับความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย

ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แต่บางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป

3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ (symptomatic HIV infection) หรือระยะป่วยเป็นเอดส์ (AIDS) ผู้ป่วยจะมีอาการมากน้อยขึ้นกับจำนวน CD4 ดังนี้

3.1 อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้

    ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย
    โรคเชื้อราที่เล็บ
    แผลแอฟทัส (aphthous ulcer)
    ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
    ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
    โรคโซริอาซิสที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ


3.2 อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ 3.1 หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจพบได้มีดังนี้

    เริม ที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อย และเป็นแผลเรื้อรัง
    งูสวัด ที่มีอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง
    โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด
    ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
    ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน
    ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน (เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
    น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
    ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
    ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
    ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย

3.3 อาการรุนแรง (ระยะเป็นเอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้น ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียวหรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน

ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้

    เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
    ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือน
    ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
    ท้องเดินเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรโตซัว
    น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้ง และอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
    ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง
    แขนขาชา หรืออ่อนแรง
    ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
    กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา
    สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด หรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
    ตกขาวบ่อย
    มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
    ซีด
    มีจุดแดงจ้ำเขียว หรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือไอทีพี
    สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากความผิดปกติของสมอง (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ "ภาวะแทรกซ้อน" ด้านล่าง)
    อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma (KS)* มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น

ในเด็ก ที่ติดเชื้อเอชไอวี ระยะแรกอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบากหรือพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ และเมื่อเป็นเอดส์เต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจพบว่าหากเป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ

ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia)
ลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก

*เกิดจากเชื้อไวรัส human herpesvirus 8 (HHV8) หรือ Kaposi’s sarcoma associated herpesvirus (KSHV) มีลักษณะเป็นผื่นหรือตุ่มรูปกลมหรือวงรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 มม. สีน้ำตาล สีแดง สีม่วง หรือสีดำ ที่ผิวหนัง (พบได้ทุกส่วน พบบ่อยที่ใบหน้าและขา) ภายในช่องปาก (เพดานแข็ง เหงือก ลิ้น)

ผื่นตุ่มที่ผิวหนังจะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือคันแต่อย่างใด ส่วนมากจะขึ้นมากกว่า 1 รอยโรคซึ่งอยู่แยกกัน และมีรอยโรคใหม่ทยอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกสัปดาห์ บางครั้งก็อาจแผ่รวมกันเป็นผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเซนติเมตร

ส่วนผื่นในช่องปาก บางครั้งอาจกลายเป็นแผล มีเลือดออก และอาจทำให้พูดและกินอาหารได้ลำบาก อาจทำให้ฟันหลุด หรืออุดกั้นทางเดินหายใจ

ถ้าเป็นที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้ขาบวมจากการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลือง

นอกจากนี้อาจขึ้นที่เยื่อบุทางเดินอาหาร (อาจทำให้ท้องเดิน ลำไส้อุดกั้น ถ่ายเป็นเลือด) เยื่อบุทางเดินหายใจ (อาจทำให้ไอเป็นเลือด หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก)

ภาวะแทรกซ้อน

มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่ขาดการรักษา มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่

1. การติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งอาจมีความรุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของภาวะแทรกซ้อนมากกว่าอาการของโรคเอดส์เอง โรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย ได้แก่

    วัณโรคปอด และวัณโรคนอกปอด (เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจ วัณโรคชนิดแพร่กระจาย) ซึ่งมักเป็นรุนแรงและอาจดื้อต่อยารักษาวัณโรคหลายชนิด
    ปอดอักเสบจากเชื้อรานิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis jiroveci) เรียกว่า "ปอดอักเสบจากนิวโมซิสติส (pneumocystis pneumonia/PCP)"
    เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.
    หลอดอาหารอักเสบจากเชื้อราแคนดิดา (esophageal candidiasis) ทำให้มีอาการกลืนลำบาก เจ็บเวลากลืน เจ็บตรงบริเวณหลังกระดูกลิ้นปี่ และมักมีโรคเชื้อราในช่องปากร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจพบหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา
    ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่พบในคนปกติทั่วไป แต่มักจะเป็นมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี
    โรคติดเชื้อฉวยโอกาสอื่น ๆ เช่น จอตาอักเสบจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus/CMV retinitis ทำให้สายตามัว อาจรุนแรงถึงตาบอดได้ มักพบในผู้ป่วยที่มี CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.) ท้องเดินรุนแรงจากเชื้อซัลโมเนลลา (salmonellosis), การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก, การติดเชื้อไวรัสโพลีโอมา (polyomavirus) ที่สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า "Progressive multifocal leukoencephalopathy" (มีอาการพูดลำบาก ตาบอดข้างหนึ่ง แขนขาชาและอ่อนแรงซีกหนึ่ง ความจำเสื่อม), การติดเชื้อรุนแรงชนิดแพร่กระจายทั่วร่างกายจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium avium complex (MAC) เชื้อโปรโตซัว-Toxoplasma gondii และเชื้อรา-Histoplasma capsulatum เป็นต้น


2. ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น

    มะเร็ง ที่พบบ่อยได้แก่ มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่มีชื่อว่า Kaposi’s sarcoma มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก (ในผู้ป่วยที่เป็นชายรักร่วมเพศ)
    เนื่องจากผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่จะมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี (จากการติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์แบบเดียวกับเอชไอวี) หากไม่ได้รับยาต้านเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบพร้อมกันไป ผู้ป่วยมักเกิดตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ ตับแข็ง มะเร็งตับ ตับวาย
    ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทและสมอง ที่พบบ่อยก็คือ ภาวะ AIDS dementia complex หรือ ADC (มีชื่อเรียกอื่น เช่น HIV dementia, HIV encephalopathy, HIV associated dementia) ซึ่งไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อนของสมอง แต่เป็นผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สมองจากเชื้อเอชไอวีโดยตรง ทำให้มีอาการผิดปกติทางสมองและจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย สับสน ขาดสมาธิ การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ (เช่น พูดลำบาก เคลื่อนไหวเชื่องช้า เดินเซ สั่น แขนขาเป็นอัมพาต กลั้นปัสสาวะไม่ได้) พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม (เช่น ไร้อารมณ์ ซึม กระสับกระส่าย ฟุ้งพล่าน ไม่ยอมพูด) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้าย ๆ ปัจจุบันพบภาวะนี้ได้น้อยลงเนื่องจากมีการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี

นอกจากนี้ ยังอาจมีโรคไขสันหลังอักเสบ (ขาชาและอ่อนแรง กลั้นปัสสาวะไม่ได้) ปลายประสาทอักเสบ (มีอาการปวดแสบปวดร้อนและชาที่ขา) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร

    อาการน้ำหนักลดมากจนมีลักษณะผอมแห้ง (wasting syndrome) มักมีอาการไข้เรื้อรัง ท้องเดิน และอ่อนเปลี้ยเพลียแรงร่วมด้วย
    ภาวะโลหิตจาง
    ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากไอทีพี
    ปวดข้อ ข้ออักเสบ
    ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
    ถุงน้ำดีอักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic Inflammatory disease) ช่องคลอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
    โรคไตพิการที่สัมพันธ์กับเอชไอวี (HIV-associated nephropathy/HIVAN) การติดเชื้อเอชไอวีก่อให้เกิดการอักเสบของหน่วยไตอย่างรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยจะแสดงอาการแบบโรคไตเนโฟรติก และมีภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้ายตามมาในเวลารวดเร็ว


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

ในระยะแรก ๆ อาจตรวจพบไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ในระยะที่มีอาการป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น ไข้ ซูบผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง (บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ) ซีด จุดแดงจ้ำเขียว เป็นต้น

ในช่องปากอาจพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดิดา รอยฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) แผลเริมเรื้อรัง แผลแอฟทัส ปากเปื่อย ก้อนเนื้องอก (มะเร็ง) เป็นต้น

บริเวณผิวหนังอาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลาก เกลื้อน โรคเชื้อราแคนดิดา) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง เริม งูสวัด แผลเรื้อรัง พุพอง ก้อนเนื้องอก หูดข้าวสุก ผื่นหรือตุ่มสีน้ำตาล สีแดง หรือสีม่วง (Kaposi’s sarcoma) ตุ่มหนองหรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไปจากเชื้อราเพนิซิลเลียม มาร์เนฟไฟ (Penicillium marneffei) ผิวหนังแห้ง คัน เป็นเกล็ดขาว เป็นตุ่มคัน เป็นต้น

ในรายที่เป็นปอดอักเสบ จะมีอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะตรวจพบอาการคอแข็ง

นอกจากนี้ อาจตรวจพบอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรงจากไขสันหลังอักเสบ หรือปลายประสาทอักเสบ ข้ออักเสบบวมแดงร้อน บวมจากโรคไต ดีซ่านจากตับอักเสบ เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่

    การตรวจแอนติเจนและแอนติบอดี (antigen/antibody test) คือการตรวจหาทั้งแอนติเจน (เชื้อเอชไอวีหรือสารก่อภูมิต้านทาน) และแอนติบอดี (สารภูมิต้านทาน) ต่อเชื้อเอชไอวีในเลือด ด้วยชุดตรวจเดียวกัน ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่ยังตรวจไม่พบ (window period)* 18-45 วัน
    การตรวจแอนติบอดี (antibody test) คือ การตรวจหาเฉพาะแอนติบอดีหรือสารภูมิต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี (anti-HIV) เพียงอย่างเดียว ในเลือดหรือน้ำลาย ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่ยังตรวจไม่พบ (window period) 23-90 วัน
    การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี (nucleic acid test/NAT) โดยการนำเลือดไปตรวจ ด้วยเทคนิค NAT (nucleic acid amplification testing) ซึ่งมีช่วงเวลาที่ยังตรวจไม่พบ (window period) 10-33 วัน

ในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี แพทย์จะใช้วิธีนำเลือดไปตรวจหาทั้งแอนติเจนและแอนติบอดี หรือตรวจหาเฉพาะแอนติบอดีเป็นหลัก ส่วนการตรวจหาสารพันธุกรรมจะเลือกใช้เฉพาะในบางกรณี**

ถ้าผลการตรวจเป็นลบ (ตรวจไม่พบเชื้อ) หรือยังสรุปไม่ได้แน่ชัด แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจซ้ำตามเห็นสมควร

ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี และ/หรือหลังให้การรักษา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม ได้แก่

    การตรวจหาจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 (CD4 count) เพื่อประเมินระยะของโรค และการวางแผนการรักษาและการให้ยาต้านเอชไอวี หากมีค่า CD4 ที่ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. แสดงว่าเป็นโรคเอดส์ระยะรุนแรง (เอดส์เต็มขั้น)
    การตรวจหาปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (HIV viral load/HIV VL) ซึ่งจะตรวจหลังให้ยาต้านเอชไอวีเป็นครั้งคราวอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามประเมินผลการรักษา
    การตรวจการดื้อต่อยาต้านเอชไอวี (HIV drug resistance testing) ในรายที่แพทย์สงสัยว่าจะเกิดเชื้อดื้อต่อยาต้านเอชไอวี โดยการเจาะเลือดไปตรวจจีโนไทป์ (genotype) เพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของลำดับเบสในสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี
    การตรวจหาโรคติดเชื้อฉวยโอกาส โรคติดเชื้อที่พบร่วม และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ด้วยการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ เสมหะ เอกซเรย์ การส่องกล้อง การตรวจเพาะเชื้อ การตรวจกรองมะเร็ง การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น

*หลังติดเชื้อในระยะแรก ๆ ร่างกายจะมีปริมาณเชื้อและแอนติบอดีไม่มากพอที่จะตรวจพบได้ ช่วงเวลาที่ยังตรวจไม่พบ (ผลการตรวจเป็นลบ) นี้เรียกว่า "Window period" การตรวจแต่ละวิธีจะมี window period แตกต่างกันไป อาทิ การตรวจแอนติเจนและแอนติบอดี จะมีช่วงเวลาที่ยังตรวจไม่พบ (window period) 18-45 วัน หมายความว่า จะเริ่มมีโอกาสตรวจพบตั้งแต่ 18 วันหลังติดเชื้อในผู้ติดเชื้อบางราย และบางรายจะยังตรวจไม่พบ แต่หลังติดเชื้อได้ 45 วันไปแล้วก็จะมีโอกาสตรวจพบได้ทุกราย

ดังนั้น ในกรณีที่ผลการตรวจเป็นลบ (คือตรวจไม่พบ) เนื่องจากตรวจในช่วง window period หากแพทย์พิจารณาว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีภายใน 3 เดือนก่อนตรวจครั้งแรก ก็จะทำการตรวจซ้ำเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด

**มีประโยชน์เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อในระยะแรกที่ยังตรวจไม่พบแอนติบอดี (anti-HIV) หรือไม่สามารถใช้แอนติบอดีแปลผลการติดเชื้อ ได้แก่ (1) การตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 24 เดือน เนื่องจากอาจพบแอนติบอดีของมารดาที่ผ่านรกมายังทารก และยังคงพบได้ในขณะนั้น (2) การตรวจวินิจฉัยผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อมาระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน (3) ติดตามบุคลากรทางการแพทย์หลังได้รับอุบัติเหตุสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อเอชไอวี


การรักษาโดยแพทย์

เมื่อตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ แพทย์จะทำการตรวจเพื่อประเมินความรุนแรงและระยะของโรค (ตรวจเลือดนับจำนวน CD4), โรคติดเชื้อที่พบร่วม (เช่น ตรวจเลือดหาไวรัสตับอักเสบบีและซี, ตรวจวีดีอาร์แอลสำหรับโรคซิฟิลิส), ประเมินการทำหน้าที่ของไต (ตรวจระดับครีอะตินีนในเลือด ตรวจปัสสาวะ) เพื่อวางแผนการรักษาและติดตามผลข้างเคียงต่อไตจากการใช้ยาต้านเอชไอวี, ประเมินการทำหน้าที่ของตับ (ตรวจระดับ ALT และ alkaline phosphatase ในเลือด) เพื่อวางแผนการรักษาและติดตามผลข้างเคียงต่อตับจากการใช้ยาต้านเอชไอวี, ตรวจหาวัณโรคปอด (เอกซเรย์ปอด), ตรวจมะเร็งปากมดลูกระยะแรก (แพ็ปสเมียร์) เป็นต้น แล้วให้การรักษา ดังนี้

1. ควบคุมโรคติดเชื้อเอชไอวี โดยการให้ยาต้านเอชไอวี (anti-retroviral therapy/ART) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี สามารถลดจำนวนของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ชะลอการเกิดโรคเอดส์ที่รุนแรง ลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และป้องกันคู่ของผู้ติดเชื้อไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางเพศสัมพันธ์

ยาต้านเอชไอวีมีอยู่หลายกลุ่ม และแต่ละกลุ่มมีอยู่หลายชนิด*

แพทย์จะให้ยาต้านเอชไอวีความแรงสูง (HAART/Highly active antiretroviral therapy) ด้วยยาต้านเอชไอวี 2-3 ชนิดร่วมกัน ซึ่งมีอยู่หลายสูตร แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย โดยระวังการใช้ยาในผู้ที่มีโรคอื่นร่วมด้วย (ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนตามมา) และผู้ที่ใช้ยาอื่นอยู่ก่อน (ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้ร่วมกัน เป็นอันตรายได้)

โดยทั่วไป แพทย์จะใช้ยาสูตรแรก ได้แก่ TDF (หรือ TAF) ร่วมกับ 3TC (หรือ FTC) ร่วมกับ DTG โดยให้เป็นแบบรวมเม็ดเดียว ซึ่งเป็นสูตรยาที่ได้ผลดี มีผลข้างเคียงน้อยและใช้วันละครั้ง ในการให้ยารักษาแพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความจำเป็นที่ต้องกินยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่องทุกวัน และร่วมกันหามาตรการในการปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการดื้อยาหากกินยาไม่สม่ำเสมอหรือไม่ต่อเนื่อง

หลังให้ยารักษา แพทย์จะติดตามดูอาการผู้ป่วยเป็นระยะ ตรวจดูผลข้างเคียง** (ซึ่งอาจมีอันตรายต่อผู้ป่วย หรือทำให้ผู้ป่วยไม่ยอมกินยาอย่างต่อเนื่องได้) และทำการตรวจเลือดนับจำนวน CD4 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (HIV viral load) เพื่อประเมินผลการรักษา*** การดำเนินของโรค และการดื้อต่อยาต้านเอชไอวี

ถ้าพบว่ามีผลข้างเคียงจากยา หรือการดื้อต่อยา ก็จะปรับเปลี่ยนสูตรยาให้เหมาะสม

2. ให้การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น โรคตับอักเสบจากไวรัสบีหรือซี ซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

3. ให้การรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคตับเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

4. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ ตามความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย อาทิ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วัคซีนป้องกันโควิด-19, วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี (ถ้ายังไม่เคยฉีดมาก่อน), วัคซีนปอดอักเสบจากเชื้อปอดบวม หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine), วัคซีนเอชพีวี (human papillomavirus vaccine/HPV) เป็นต้น

5. การเสริมสภาพจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งมักจะมีความวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ รู้สึกไม่มั่นคง ด้วยการให้การปรึกษาแนะแนว ให้กำลังใจ ให้การสังคมสงเคราะห์ตามความจำเป็น รวมทั้งสนับสนุนให้เข้าร่วมกลุ่มมิตรภาพบำบัด หรือกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (self-help group)

ผลการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษากับแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โดยกินยาอย่างสม่ำเสมอ และดูแลตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มักควบคุมโรคได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ยังต้องติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องแบบเดียวกับโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง)

*ตัวอย่างกลุ่มและชนิดของยาต้านเอชไอวี

1. กลุ่ม NRTIs (nucleoside or nucleotide reverse transcriptase inhibitors) เช่น 3TC (lamivudine), AZT (zidovudine), ABC (abacavir), TDF (tenofovir disoproxil fumarate), TAF (tenofovir alafenamide), FTC (emtricitabine)

2. กลุ่ม NNRTIs (non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) เช่น NVP (nevirapine), EFV (efavirenz), ETR (etravirine), RPV (rilpivirine)

3. PIs (protease inhibitors) เช่น ATV (atazanavir), DRV (darunavir), LPV (lopinavir), RTV (ritonavir)

4. Integrase inhibitors เช่น BIC (bictegravir), RAL (raltegravir), DTG (dolutegravir)

**ผลข้างเคียง เช่น ยาในกลุ่ม NRTIs และกลุ่ม PIs อาจทำให้เกิดภาวะไขมันกระจายตัวตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ผิดปกติ (lipodystrophy) มีอาการฝ่อของเนื้อเยื่อไขมันบริเวณรอบตา แก้ม และขมับ แต่มีไขมันสะสมที่ท้อง คอด้านหลัง และเต้านม, ยาในกลุ่ม NNRTIs อาจทำให้ตับอักเสบ ผื่นผิวหนัง, ยาในกลุ่ม PIs อาจทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง เอนไซม์ตับในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ/สมองตีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงอยู่แต่เดิม)

6
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


7
ขนย้ายต้นไม้ง่ายๆ กับ รถรับจ้างขนของอุดรธานี ขนอย่างไรไม่ให้ต้นไม้ตายหรือหัก

ขึ้นชื่อต้นไม้ นั้นถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่เมื่อต้องการ ขนย้าย จำเป็นมากๆ เราจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษเลยนะคะ  เราควรให้ความสนใจให้ความใส่ใจและระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะช้ำง่าย หักง่าย เปราะบางนั่นเองคะ หาก ขนย้ายต้นไม้ โดยไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจทำให้ต้นไม้เกิดความเสียหายได้นั่นเองจนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีกค่ะ หรือทำให้ต้นไม้ตายได้ค่ะเราจะมาแนะนำขั้นตอนการขนย้ายต้นไม้ค่ะ ขนอย่างไรไม่ให้ต้นไม้ตายหรือหัก และนี่คือขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถขนย้ายต้นไม้ได้อย่างปลอดภัยค่ะ


1. การเตรียมตัวก่อนขนย้าย

แน่นอนค่ะว่า ก่อนที่เราจะขนย้ายต้นไม้อะไร จำเป็นมาก ที่จะศึกษาลักษณะของต้นไม้ ซึ่งก่อนขนย้ายควรศึกษาลักษณะเฉพาะของต้นไม้ อย่างเช่น ระบบราก ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และขนาดของต้นไม้ เพื่อวางแผนการขนย้ายได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าต้นไม้ต้นเล็ก ก็สามารถใช้ รถกระบะรับจ้าง ได้ แต่หากเป็นต้นไม้ใหญ่ อาจจำเป็นต้องใช้ รถหกล้อพื้นเรียบ ในการขนย้ายค่ะ

อีกวิธีนั่นก็คือการตัดแต่งกิ่งและใบ ซึ่งการตัดแต่งกิ่งและใบนั้นจะช่วยลดน้ำหนักของต้นไม้และลดการสูญเสียน้ำของต้นไม้ระหว่างการขนย้ายค่ะ แต่การตัดแต่งกิ่งก็ควรตัดแต่งเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าตัดเยอะจนเกินไปจะทำให้ไปกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ค่ะขั้นตอนนี้ต้องระวังนะคะ และที่สำคัญค่ะ ก่อนขนย้ายควรรดน้ำให้เพียงพอค่ะ ก่อนที่จะขนย้ายประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ต้นไม้มีความชุ่มชื้นในระหว่างการเดินทางไปยังปลายทางค่ะ


2. ขั้นตอนการขนย้าย

เมื่อได้ วัน-เวลา ที่จะขนย้ายแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการจัดการกับต้นไม้ที่เราจะขนย้ายค่ะ โดยขั้นตอนแรกค่ะคือ เราจะขุดดินและรักษารากต้นไม้ไว้ด้วย โดยการขุดดินรอบๆ ต้นไม้ให้กว้างพอที่จะรักษาระบบรากไว้ได้มากที่สุดค่ะ และซึ่งต้องพยายามหลีกเลี่ยงการตัดรากหลักค่ะ แต่หากจำเป็นต้องตัดจริงๆ ก็ต้องใช้เครื่องมือที่คมและสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของรากต้นไม้ค่ะ

เมื่อทำการขุดและตัดแต่งรากเรียบร้อยแล้ว และสิ่งสำคัญก็คือการห่อรากต้นไม้ ด้วยวัสดุป้องกัน โดยใช้วัสดุอย่างผ้ากระสอบหรือพลาสติกคลุมราก สิ่งเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นไม้สูญเสียน้ำมากเกินไป และไม่ให้เกิดความเสียหายของรากระหว่างการขนย้ายค่ะ สำหรับต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ควรที่จะใช้เครื่องมือช่วยยก อย่างเช่น รถยก รอก หรือใช้ บริการรถเฮี๊ยบรับจ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกินการหักหรือฉีกขาดของลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้ค่ะ


3. การปลูกใหม่หลังขนย้าย

เมื่อการ ขนย้ายต้นไม้ เสร็จสิ้น ต่อไปจะเป็นการ เลือกสถานที่ปลูกที่เหมาะสมค่ะ และนั่นหมายความว่าสถานที่ใหม่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับต้นไม้ อย่างเช่น แสงแดด ดิน และระยะห่างจากต้นไม้ ต้นอื่นๆ ค่ะ เตรียมหลุมปลูก โดยการขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับระบบรากของต้นไม้ได้ และใส่วัสดุปลูกที่มีธาตุอาหารเพียงพอ จากนั้นวางต้นไม้ในหลุมอย่างระมัดระวัง ปรับระดับให้ตรง โดยการใช้ไม้หรือเชือกช่วยยึดลำต้นเพื่อป้องกันการล้มในช่วงแรกค่ะ จากนั้นรดน้ำทันทีหลังการปลูกและดูแลต้นไม้โดยรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรก รวมถึงตรวจสอบอาการของต้นไม้ เช่น ใบเหี่ยวไหม เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีค่ะ


4. เคล็ดลับเพิ่มเติม

การขนย้ายต้นไม้ควรที่จะขนย้ายในช่วงที่อากาศเย็นหรือมีความชื้นสูง เช่น ช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อลดความเครียดของต้นไม้ และหากต้นไม้มีขนาดใหญ่มาก สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทที่ให้บริการขนย้ายต้นไม้โดยเฉพาะค่ะ

การ ขนย้ายต้นไม้ อย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยรักษาชีวิตของต้นไม้ได้ แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ต้นไม้เติบโตได้อย่างแข็งแรงในสถานที่ใหม่ หากคุณทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำ รับรองว่าต้นไม้ของคุณจะไม่ตายอย่างแน่นอนค่ะ เรามีความหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณที่ได้อ่านนะคะ หรือหากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม หรือต้องการ รถรับจ้างขนย้าย ในการขนย้ายต้นไม้ สามารถติดต่อขนส่ง ได้เลยค่ะ


รถรับจ้างอุดรธานี บริการรถรับจ้างทุกชนิด

เรามีรถทุกชนิดพร้อมให้บริการ ด้วยทีมงานมืออาชีพ ราคาย่อมเยา ตรงเวลา รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจในคุณภาพ ขนส่ง พร้อมดูแลทุกการขนย้ายของคุณค่ะ รถกระบะรับจ้าง รถสี่ล้อใหญ่รับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเทรลเลอร์รับจ้าง รถเฮี๊ยบรับจ้าง ให้เราช่วยคุณขนย้ายในทุกๆ ความต้องการค่ะ

8
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


9
อุปกรณ์ safety ที่ รถรับจ้าง ควรมีติดรถ

คุณรู้ไหมค่ะว่า ก่อนที่คุณจะเลือกจ้าง บริการรถรับจ้าง สิ่งสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญนั่นคือความปลอดภัย เพราะ ไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสินค้าที่เราต้องการขนย้ายด้วย อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับเราได้ด้วยค่ะ ดังนั้น ก่อนที่เราจะให้บริการรถรับจ้าง รถรับจ้างขนของทุกคันควรมีอุปกรณ์เซฟตี้ที่จำเป็นติดรถอยู่เสมอ โดย รถรับจ้างจะพาไปดูว่าอุปกรณ์ safety ที่ควรมี ได้แก่


1. เข็มขัดนิรภัย

ต้องบอกว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องมีสำหรับรถทุกคันค่ะ ไม่ใช่เฉพาะ รถขนของ เท่านั้นค่ะ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น จะช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ค่ะ แน่นอนว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข็มขัดนิรภัยสามารถใช้งานได้ดีอยู่เสมอค่ะ


2. ไฟฉุกเฉินและไฟส่องสว่าง

ไฟฉุกเฉินใช้สำหรับแจ้งเตือนกรณีรถเสียหรือเกิดเหตุขัดข้องบนท้องถนน เพื่อให้รถคันอื่นๆ ได้เห็นรถเราอย่างชัดเจนค่ะ ในส่วนของไฟส่องสว่างจะช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดหรือในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยได้ค่ะ


3. สามเหลี่ยมสะท้อนแสง

เป็นสัญลักษณ์ใช้ในกรณีที่เราจอดรถ รถรับจ้างขอนแก่น เพื่อช่วยเตือนรถคันอื่นให้ทราบว่ามีรถจอดอยู่ข้างทางหรือมีอันตรายข้างหน้า ควรวางไว้ในระยะที่เหมาะสมตามมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อความปลอดภัยต่อเราด้วยค่ะ


4. ถังดับเพลิง

แน่นอนว่าเราไม่สามารถทราบก่อนว่าการขนย้ายของเราจะเกิดไม่เกิดอะไรขึ้น ถังดับเพลิงจะช่วยป้องกันและควบคุมเพลิงไหม้ที่อาจเกิดขึ้นจากระบบไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงในรถได้ จึงควรเลือกใช้ถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับรถและต้องตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอค่ะ


5. เชือกหรือสายรัดของ

สำหรับรถขนของ รถรับจ้างขอนแก่น แล้ว เชือกหรือสายรัด จำเป็นมากๆ เพราะต้องใช้สำหรับยึดสิ่งของให้แน่น เพื่อไม่ให้เคลื่อนที่ระหว่างการขนส่ง ลดการเสียดสีกันของของที่เราขนย้าย ควรเลือกสายรัดที่แข็งแรง ทนทาน และเหมาะสมกับน้ำหนักของสินค้าที่ขนย้ายค่ะ


6. ถุงมือและรองเท้านิรภัย

สำหรับรถขนของแล้ว ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ การยกของ ขนย้ายของ อุปกรณ์ safety ที่ช่วยป้องกันตัวเราได้นั่นคือ ถุงมือและรองเท้านิรภัย เพื่อป้องกันมือและเท้าจากอันตรายขณะขนย้ายสิ่งของค่ะ และแน่นอนว่าควรจะเลือกถุงมือที่จับกระชับและรองเท้าที่มีพื้นกันลื่นเพื่อป้องกันตัวเราได้ค่ะ


7. แม่แรงและชุดเครื่องมือพื้นฐาน

รถรับจ้างขนของ เป็นรถที่ต้องใช้งานตลอดเวลา บางครั้งอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ แม่แรงและชุดเครื่องมือพื้นฐาน จะเป็นตัวช่วยซ่อมแซมเบื้องต้นหากเกิดปัญหาขณะเดินทางได้ค่ะ ซึ่งชุดเครื่องมือพื้นฐานที่ควรมี เช่น ประแจ ไขควง และคีม เพื่อช่วยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ค่ะ


8. ชุดปฐมพยาบาล

ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ทำแผล ยาแก้ปวด พลาสเตอร์ และอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ แน่นอนว่าควรตรวจสอบวันหมดอายุของยาและอุปกรณ์อยู่เสมอนะคะ


9. GPS หรือแผนที่นำทาง

สำหรับ รถรับจ้างทั่วไป แล้ว แผนที่นำทางเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้การเดินทางมีความแม่นยำมากขึ้น และลดโอกาสการหลงทางได้ค่ะ และช่วยค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัยและรวดเร็วค่ะ


10. กล้องติดรถยนต์

เป็นตัวช่วยบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ขณะขับขี่ สามารถใช้เป็นหลักฐานกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาบนท้องถนนได้ ควรเลือกกล้องที่มีความละเอียดสูงและสามารถบันทึกได้ทั้งกลางวันและกลางคืนค่ะ

อุปกรณ์เซฟตี้เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ รถรับจ้างขนของ ควรมีติดรถอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงสินค้าที่ขนส่ง การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้ป้องกันและลดการเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้ค่ะ เพื่อให้การขนย้ายของเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นค่ะ

หากคุณกำลังมองหารถรับจ้างที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ การเลือกใช้ รถรับจ้าง คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยบริการขนส่งที่มีมาตรฐานสูง พนักงานขับรถมีประสบการณ์ และรถทุกคันได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ไม่ว่าคุณจะขนย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ย้ายไซต์งานก่อสร้าง หรือขนส่งสินค้า ก็มั่นใจได้ในคุณภาพและความตรงต่อเวลา เราพร้อมให้บริการด้วยราคายุติธรรมและซื่อสัตย์ต่อทุกลูกค้า เลือกเราเพื่อการขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยตลอดเส้นทาง

10
การจัดฟันเด็ก กับ การจัดฟันตอนโต ต่างกันอย่างไร

การเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง ที่ช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แทบจะทุกกรณี แต่การจัดฟันนั้น ก็มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันที่สวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น การจัดฟันแบบใส การจัดฟันแบบเร็ว ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบต่างๆที่กล่าวมานั้น ก็จะมีข้อแตกต่างกันออกไป มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และแก้ไขปัญหาได้แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการจัดฟันในเด็กและการจัดฟันในผู้ใหญ่ แน่นอนว่าก็จะมีความแตกต่างกัน เพราะการจัดฟันในเด็กจะมีการใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน

หลายคนเคยจัดฟันในตอนเด็กและอาจจะละเลยในการสวมใส่เครื่องมือที่ต้องใส่หลังการจัดฟัน เพื่อช่วยคงสภาพฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พอโตมาก็อาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมา จนต้องเข้ารับการจัดฟันอีกครั้ง ก็จะเห็นในข้อแตกต่างระหว่างการจัดฟันในเด็กกับการจัดฟันตอนโต และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงข้อแตกต่างของการจัดฟันในเด็กและการจัดฟันตอนโต ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร เผื่อพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็อาจจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจ และจะได้เห็นข้อแตกต่างจากการจัดฟันตอนโต

ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็ก ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะมีความจำเป็นมากเท่าไหร่ แต่การที่เราปลูกฝังหรือส่งเสริมบุตรหลานของท่านในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณสุขภาพช่องปากและฟันที่มีความผิดปกติของการขึ้นของฟัน หรือแม้กระทั่งการที่บุตรหลานของท่านมีพฤติกรรมการดูดนิ้ว จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ต้องบอกว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถเริ่มจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี เพราะในวัยนี้ ฟันน้ำนมจะหลุดออกหมดแล้ว และฟันแท้ก็ขึ้นครบแล้ว ซึ่งการจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นประโยชน์ นอกจากจะทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามตั้งแต่เด็กแล้ว ยังสามารถทำให้เด็กมีรอยยิ้มได้อย่างมั่นใจและยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ เมื่อมีฟันเรียงสวย ไม่ซ้อนเก เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น

สำหรับการจัดฟันตอนโตนั้น ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมมาก เพราะผู้ใหญ่บางคนก็มีปัญหาเกี่ยวกับฟันที่มีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง ฟันซ้อน ฟันเก ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคลิกภาพ การรับประทานอาหาร ซึ่งอาจจะทำให้การบดเคี้ยวอาหารนั้น ไม่ดีเท่าที่ควร และยังส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วย ถ้าหากเราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาได้ จึงเลือกใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟัน แต่การจัดฟันสำหรับผู้ใหญ่ ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การจัดฟันในผู้ใหญ่อาจจะช้ากว่าการจัดฟันในเด็ก และมีข้อจำกัดมากกว่าเด็ก เนื่องจากเด็กอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ร่างกายสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี การเคลื่อนฟันในเด็กเลยมักง่ายกว่า มีผลแทรกซ้อนน้อยกว่า ต่างกับการจัดฟันในผู้ใหญ่ที่ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมถอย แต่อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์ก็จะต้องดูความเหมาะสม ตามภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก กับ การจัดฟันตอนโต นั้น ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของ ข้อจำกัดในเรื่องของอายุ สภาพของร่างกาย อัตราการเคลื่อนของฟัน รวมไปถึงการตอบสนองต่อการรักษา แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้เช่นเดียวกัน  หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่คลินิกทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันของท่านได้อย่างตรงจุดและถูกต้อง เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี อยากให้มีรอยยิ้มที่สดใส มั่นใจ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

11
ฉนวนกันความร้อน แผ่นสะท้อนความร้อนเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาคารจากความร้อนอย่างไร?

3 เรื่องน่ารู้ของแผ่นสะท้อนความร้อน ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นสะท้อนความร้อนกับการป้องกันอาคารจากความร้อนได้อย่างชัดเจน

เชื่อว่าในเวลานี้คงไม่มีพื้นที่ไหนในประเทศไทยหลีกหนีจากความร้อนไปได้แน่นอน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ทั่วโลกมีความร้อนสูงมากกว่าปกติจากสถานการณ์โลกร้อน ปัญหามลพิษ และอีกหลากหลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเร่งปรับตัวกันอย่างเร่งด่วน ซึ่งการปรับตัวที่ว่านี้ก็รวมไปถึงเรื่องของสิ่งปลูกสร้างด้วยที่ต้องสร้างให้ทนทานต่อความร้อนได้มากขึ้น เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ สึกหรอ หรือพังทลายก่อนเวลาอันควร และที่สำคัญก็คือ หากเราสามารถป้องกันอาคารจากความร้อนได้ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาคารนั้นก็จะได้รับผลกระทบจากความร้อนน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งในกระบวนการก่อสร้างอาคาร จะมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมักเลือกติดตั้งร่วมด้วย นั่นก็คือ 'แผ่นสะท้อนความร้อน' นั่นเอง

ในบทความนี้เราจะมาไขคำตอบไปด้วยกันว่า แผ่นสะท้อนความร้อนเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาคารจากความร้อนอย่างไร? ผ่านการพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 3 เรื่องน่ารู้ของแผ่นสะท้อนความร้อน ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นสะท้อนความร้อนกับการป้องกันอาคารจากความร้อนได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งสามเรื่องที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง สามารถตามมาไขข้อข้องใจไปพร้อมกันได้เลย


ประโยชน์ของแผ่นสะท้อนความร้อนที่ช่วยป้องกันอาคารจากความร้อนได้


1.    แผ่นสะท้อนความร้อนคือเครื่องสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากอยากรู้ว่าแผ่นสะท้อนความร้อนทำงานได้ดีอย่างไร ก็ต้องเข้าใจการปล่อยของดวงอาทิตย์ก่อน โดยดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่ปล่อยพลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันภายในดวงอาทิตย์ เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านออกจากบรรยากาศดวงอาทิตย์ก็จะแพร่กระจายไปทั่วอวกาศในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่าง ๆ รวมถึงคลื่นรังสีความร้อนในช่วงคลื่นอินฟราเรดซึ่งมีความยาวคลื่นระหว่าง 700 นาโนเมตร ถึง 1 มิลลิเมตรด้วย และเมื่อรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์นี้ตกกระทบกับวัตถุต่าง ๆ เช่น โลก ดาวเคราะห์ อาคารบ้านเรือน ก็จะทำให้วัตถุนั้นร้อนขึ้น เนื่องจากพลังงานจากรังสีถูกดูดกลืนเข้าไปในรูปของการสั่นสะเทือนของอะตอม และโมเลกุล ทว่าด้วยความที่แผ่นสะท้อนความร้อนนั้นผลิตขึ้นมาจากวัสดุอย่างโพลิเมอร์ ฟอยล์ ใยหิน ฯลฯ ที่มีคุณสมบัติการสะท้อนรังสีความร้อนสูง แผ่นสะท้อนความร้อนจะทำหน้าที่สะท้อนและกระจายรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกจากตัวอาคาร โดยไม่ให้ความร้อนนั้นแทรกซึมผ่านเข้ามาในผนังหรือหลังคา และทำให้ภายในอาคารยังคงมีอุณหภูมิที่เย็นสบายอยู่


2.    แผ่นสะท้อนความร้อนสามารถทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ด้วย

    ความร้อนไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์โดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรยากาศรอบ ๆ อย่างลมที่พัดมา พื้นดิน และทุกสิ่งทุกอย่างตามธรรมชาติ กล่าวคือแม้ในขั้นตอนแรกเราจะสามารถสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยตรงได้แล้ว แต่พื้นที่อื่น ๆ รอบข้างที่ไม่ได้มีแผ่นสะท้อนความร้อนติดตั้งก็ยังรับความร้อนได้อยู่ และสิ่งเหล่านั้นก็สามารถปล่อยความร้อนออกมาได้ ดังนั้นการที่แผ่นสะท้อนความร้อนสามารถทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ด้วยนั้น จึงมีความสำคัญมากในการขัดขวางการถ่ายเทความร้อนจากความร้อนรอบ ๆ เข้าสู่ภายในอาคาร โดยแผ่นสะท้อนความร้อนสามารถทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ เนื่องจากประกอบด้วยชั้นวัสดุพิเศษที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนป้องกันไม่ให้ความร้อนผ่านเข้า-ออกได้ง่าย ๆ เช่น พลาสติกโฟม พอลิสไตรีน โพลิเมอร์ ฟอยล์ ใยหิน หรือใยแก้ว เป็นต้น มันจึงสามารถเป็นฉนวนกันความร้อนจากบรรยากาศรอบ ๆ อาคารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยป้องกันไม่ให้ความร้อนจากทุกทิศทางแทรกซึมเข้าสู่ภายในอาคาร


3.    แผ่นสะท้อนความร้อนช่วยยืดอายุสิ่งปลูกสร้าง และอาคารทั้งหมดได้มากขึ้น

    อาคารบ้านเรือนของเราได้รับแสงแดด และความร้อนจากผิวดาดฟ้า หลังคา และกำแพงภายนอก ทำให้ภายในอาคารมีอุณหภูมิสูงขึ้น วัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เช่น คอนกรีต เหล็ก ไม้ ต้องรับแรงกระทบจากความร้อนนี้ เมื่อโดนความร้อน วัสดุเหล่านี้จะขยายตัวออก เมื่ออุณหภูมิลดลง ก็จะหดตัวกลับ การขยายตัว และหดตัวซ้ำ ๆ หลายรอบ ทำให้วัสดุเกิดความเครียด และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น อาจเกิดรอยร้าว รอยแตก หรือผิดรูปทรงไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้การใช้แผ่นสะท้อนความร้อนมาเป็นเครื่องมือป้องกันความร้อนจึงช่วยลดผลกระทบจากการยืด-หดของวัสดุได้ดีขึ้น จึงสามารถลดการเสื่อมสภาพได้ตามไปด้วย


4.   แผ่นสะท้อนความร้อนช่วยประหยัดไฟฟ้าได้

    แผ่นสะท้อนความร้อนช่วยให้ประหยัดไฟได้ เพราะเมื่อแผ่นสะท้อนความร้อนทำหน้าที่สะท้อนแสงแดดออกไป ความร้อนที่เข้าสู่ตัวอาคารก็จะลดลง ส่งผลให้เราเปิดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ลดลง รวมถึงเวลาเปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศก็จะทำงานหนักน้อยลงด้วย เช่น หากเลือกใช้เป็น แผ่นฉนวนสะท้อนความร้อนอลูมิเนียมฟอยล์สองด้าน (Double Sided) Venpac Foil 730 ที่มีความสามารถสะท้อนความร้อนได้สูงสุดถึง 95% เลยทีเดียว และแผ่นสะท้อนความร้อน ฟอยล์กันความร้อน หรือฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminum Foil) มีคุณสมบัติกระจายความร้อน 5% ก็จะช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารได้ประมาณ 20 องศาเซลเซียส (อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม) เมื่อเทียบกับอาคารที่ไม่มีการติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อน ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลงและประหยัดค่าไฟฟ้ารายเดือนได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ การติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนจึงนับเป็นวิธีการประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จาก 3 เรื่อง 3 ประโยชน์ของแผ่นสะท้อนความร้อนที่เราหยิบยกขึ้นมาเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้ เชื่อว่าทุกคนน่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเพราะอะไรแผ่นสะท้อนความร้อนจึงสัมพันธ์กับการป้องกันความร้อนมาสู่สิ่งก่อสร้างและอาคารได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าความร้อนนั้นจะมาจากดวงอาทิตย์โดยตรง หรือจากความร้อนสะสมในบรรยากาศ แผ่นสะท้อนความร้อนก็สามารถป้องกันไม่ให้ความร้อนจากทุกทิศทางแทรกซึมเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งหมดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้แผ่นสะท้อนความร้อนจึงเป็นเหมือนผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งในการป้องกันอาคารจากความร้อนเลยก็ว่าได้

12
บริการด้านอาหาร: อาหารบำบัด สำหรับคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ!?!

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ และจัดให้ถูกหลักโภชนาการ เป็นการช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค เพิ่มโอกาสรอดชีวิต รวมทั้งป้องกันการเกิดภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ได้รับการรักษาโรค

ดังนั้น ในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถือว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เพราะจะต้องจำกัดในเรื่องของปริมาณของอาหารที่จะรับประทานเข้าไป และต้องเลือกอาหารให้เหมาะสมกับโรคประจำตัว เพื่อให้ร่างกายได้นำสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายของผู้ป่วย แต่ในวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของอาหารบำบัดสำหรับคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ

ซึ่งอาการเหล่านี้ สามารถช่วยบรรเทาได้ด้วยการรับประทานอาหาร โดยเกล็ดเลือดถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของเลือดในร่างกายเรา มีลักษณะคล้ายจาน มีความหนืด และไม่มีสี มีหน้าที่หลัก คือ การจัดตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่ออุดตันเลือดไม่ให้ไหลออกจากร่างกายมากเกินไป เช่น กรณีที่เกิดแผลเลือดออก หรือแผลฟกช้ำ สาเหตุที่ทำให้เกล็ดเลือดในร่างกายต่ำอาเกิดจาก โรคร้าย, โรคมะเร็ง, พันธุกรรม และอาการผิดปกติอื่นๆในร่างกาย การรักษาอาการเกล็ดเลือดต่ำนั้น นอกจากการรับประทานยา และการเข้าพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอแล้วนั้น

การเลือกรับประทานอาหารเพิ่มเกล็ดเลือดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ยังช่วยเพิ่มและรักษาสมดุลของปริมาณเกล็ดเลือดในร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากๆ อย่างไรก็ตาม ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ก็อาจเป็นผลมาจากโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิต้านตัวเอง ภาวะเลือดมีแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์หนักมากเป็นเวลานาน หรือใช้ยาละลายลิ่มเลือด ใช้ยากันชัก และหากกำลังรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด หรือ รังสีรักษา ก็ทำให้มีเกล็ดเลือดต่ำได้เช่นกัน

สำหรับวิธีเพิ่มเกล็ดเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อช่วยเพิ่มโฟเลตให้กับร่างกาย ซึ่งโฟเลตเป็นวิตามินบีชนิดสำคัญที่ช่วยบำรุงเลือด ทำให้เลือดมีสุขภาพดี แนะนำให้ผู้ใหญ่ควรได้รับโฟเลตอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม และหากเป็นหญิงตั้งครรภ์ก็ควรได้รับโฟเลตวันละ 600 ไมโครกรัม

โดยสามารถหาโฟเลตได้จากผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง รวมถึงพืชตระกูลถั่ว ธัญพืช ส้ม ข้าว ยีสต์ ตับวัว นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง หากร่างกายได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ก็จะทำให้มีเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติได้ โดยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 เช่น เนื้อวัว ตับวัว ไข่ หอย ปลา (เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า)

แต่หากคุณกินมังสวิรัติ หรือเป็นวีแกน ก็อาจเพิ่มวิตามินบี 12 ได้ด้วยการกินอาหารเสริมวิตามินบี 12 นมถั่วเหลืองหรือนมอัลมอนด์เสริมวิตามินบี 12 ต่อมาคือ อาหารที่มีธาตุเหล็ก สามารถช่วยให้เกล็ดเลือดและเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งสามารถเพิ่มธาตุเหล็กได้จากการกินดาร์กช็อกโกแลต หอยนางรม ตับวัว เต้าหู้ ถั่วแดง ถั่วขาว

แต่ถ้าอยากเพิ่มเกล็ดเลือดด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ก็ต้องระวังอย่ารับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ชีส โยเกิร์ต ปลาซาร์ดีน เวย์โปรตีน นมวัว หรืออาหารเสริมแคลเซียมในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กได้

ต่อมาคือ วิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยให้เกล็ดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างเกล็ดเลือดได้เป็นอย่างดี โดยคุณสามารถหาวิตามินซีได้จากบร็อคโคลี่ มะม่วง ฝรั่ง ส้ม เกรปฟรุต สัปปะรด พริกหยวก มะเขือเทศ กีวี สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น และสุดท้ายคือ วิตามินเค ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างลิ่มเลือด

ช่วยบำรุงกระดูก โดยสามารถหาวิตามินเคได้จากผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง บร็อคโคลี่ ถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง ฟักทอง และถั่วเหลืองหมักดอง ดังนั้น วิธีการเพิ่มเกล็ดเลือด นอกจากจะรับประทานอาหารบำรุงเกล็ดเลือดที่เราแนะนำข้างต้นให้มากขึ้นแล้ว ควรงดหรือลดอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด ที่อาจทำให้เกล็ดเลือดต่ำ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำแครนเบอร์รี แอสปาร์แตมหรือน้ำตาลเทียม

อย่างไรก็ตาม เราทุกคนควรพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานในแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย  ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด  เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

13
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอออนไลน์: แผลพุพอง (Impetigo/Ecthyma)
« เมื่อ: วันที่ 7 สิงหาคม 2025, 20:41:51 น. »
หมอออนไลน์: แผลพุพอง (Impetigo/Ecthyma)

แผลพุพอง เป็นการอักเสบของผิวหนังแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มักพบในทารกและเด็กวัยเรียนที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี ไม่ค่อยดูแลความสะอาดของตัวเอง หรือมีบาดแผลเล็กน้อยก็ปล่อยปละละเลย โรคนี้ติดต่อกันง่ายภายในบ้าน สถานเลี้ยงเด็ก และโรงเรียน

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส หรือสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. แผลพุพองชนิดตื้น (impetigo) เป็นการติดเชื้อของหนังกำพร้าชั้นนอกสุด (stratum corneum) เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ขาดการรักษาความสะอาด และไม่ใส่ใจดูแลบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว ติดต่อโดยการสัมผัสถูกผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อน หรือสัมผัสถูกเชื้อที่ปนเปื้อนตามสิ่งของเครื่องใช้ที่ผู้ป่วยสัมผัส เชื้อจะเข้าสู่ผิวหนังทางรอยถลอก

2. แผลพุพองชนิดลึก (ecthyma) เป็นการติดเชื้อลึกถึงชั้นหนังแท้ มักพบในเด็กวัยเรียนหรือผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักรักษาความสะอาด ผิวหนังสกปรก ไว้เล็บยาว ไม่ใส่ใจดูแลบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รอยถลอกรอยขีดข่วน รอยแผลจากยุง แมลงกัด หรืออาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น หิด เหา อีสุกอีใส เริม งูสวัด ผื่นแพ้ ผื่นคัน เป็นต้น

อาการ

1. แผลพุพองชนิดตื้น แสดงอาการได้ 2 แบบ

แบบที่ 1 เกิดจากการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ แรกเริ่มเป็นผื่นแดงและคัน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ มีฐานสีแดง ต่อมากลายเป็นตุ่มหนอง ซึ่งจะแตกง่าย กลายเป็นสีแดง และมีน้ำเหลืองเหนียว ๆ ติดเยิ้ม แล้วกลายเป็นสะเก็ดเหลืองกรังติดอยู่ มีลักษณะคล้ายรอยบุหรี่ เมื่อผื่นอันแรกแตก มักจะมีผื่นบริวารขึ้นตามในบริเวณข้างเคียงหลาย ๆ อัน และอาจลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเกา

บางรายอาจมีไข้ต่ำหรือต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย มักขึ้นตามใบหน้า ใบหู จมูก ปาก ศีรษะ ก้น และบริเวณนอกร่มผ้า (เช่น มือ ขา หัวเข่า) เมื่อหายแล้วจะไม่เป็นแผลเป็น

ถ้าเป็นพุพองที่ศีรษะ ชาวบ้านเรียกว่า ชันนะตุ

แบบที่ 2 เกิดจากการติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส ซึ่งพบได้น้อยกว่าแบบที่ 1 มีอาการพุขึ้นเป็นตุ่มน้ำพอง ฐานไม่แดง ระยะแรกน้ำภายในตุ่มพองมีลักษณะใส ต่อมาจะเริ่มขุ่น แล้วบางตุ่มจะแตก มีน้ำเหลืองแห้งกรังเป็นสีน้ำตาล ในทารกที่ยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ มักมีไข้ และตุ่มน้ำพองมีขนาดใหญ่

2. แผลพุพองชนิดลึก (อาจเกิดจากสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส หรือสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอก็ได้) แรกเริ่มขึ้นเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ หรือตุ่มหนองเล็ก ๆ มีฐานสีแดง แล้วโตขึ้นช้า ๆ มีขนาด 1-3 ซม. ต่อมามีสะเก็ดหนาปกคลุม ลักษณะเป็นสะเก็ดแข็งสีคล้ำติดแน่น ข้างใต้เป็นน้ำหนอง ถ้าเป็นนาน ๆ ขอบแผลจะยกนูนออกเป็นสีคล้ำ เมื่อหายแล้วจะกลายเป็นแผลเป็น มักพบที่บริเวณขา

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่มักดูแลรักษาให้หายขาด และไม่มีภาวะแทรกซ้อน และส่วนใหญ่ไม่เป็นแผลเป็น ยกเว้นในรายที่เป็นแผลพุพองชนิดลึกที่มักเป็นแผลเป็นเมื่อหายแล้ว

ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เชื้อลุกลามกลายเป็น เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (cellulitis) และเชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษได้ ถ้าพบในทารก อาจมีอันตรายร้ายแรงได้

ในรายที่เกิดจากเชื้อบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ อาจทำให้เป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ (มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดง)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ในบางรายแพทย์อาจนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. อาบน้ำฟอกด้วยสบู่วันละ 2 ครั้ง และใช้น้ำด่างทับทิมชะล้างเอาคราบสะเก็ดออกไป

สำหรับแผลพุพองที่มีสะเก็ดแข็ง ทำการประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ และชุ่ม ๆ เพื่อให้สะเก็ดนุ่มและหลุดออกเร็ว

2. ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน

3. ทาแผลด้วยขี้ผึ้งเตตราไซคลีน หรือครีมเจนตาไมซิน หรือเจนเชียนไวโอเลต หลังอาบน้ำทุกครั้ง

4. ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี, อีริโทรไมซิน, ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ เป็นต้น เป็นเวลา 5-7 วัน สำหรับเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส

สำหรับเชื้อสเตรปโตค็อกคัสจะให้กินยานาน 10 วัน เพื่อป้องกันโรคหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันใน

สำหรับแผลพุพองชนิดลึก (ที่มีสะเก็ดแข็งสีคล้ำติดแน่น) จะให้กินยานาน 2-3 สัปดาห์

5. ถ้าไม่ดีขึ้นหรือพบในทารก แพทย์จะนำหนองจากรอยโรคไปทำการย้อมเชื้อหรือเพาะเชื้อ และให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ

การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นแผลพุพอง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลพุพอง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ลดการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดยหยุดไปสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน และพักอยู่ที่บ้านจนกว่าจะไม่แพร่เชื้อ (คือ หลังกินยาปฏิชีวนะได้ 24 ชั่วโมงไปแล้ว), ชะล้างแผลให้สะอาดและใช้ผ้าปิดแผล, หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่, ตัดเล็บให้สั้น, ไม่ใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม เบื่ออาหาร เท้าบวม ปัสสาวะเป็นสีแดง หรือมีอาการชัก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หมั่นรักษาความสะอาดของผิวหนัง
    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
    ตัดเล็บให้สั้น
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกแผลพุพองที่ผู้ป่วยเป็น
    ไม่ใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้ป่วย
    หากมีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือโรคผิวหนัง (เช่น หิด เหา เริม งูสวัด อีสุกอีใส) ควรให้การดูแล อย่างจริงจัง

ข้อแนะนำ

แผลพุพองชนิดตื้นที่เกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ควรกินยาปฏิชีวนะให้ครบระยะเวลาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน

14
หมอออนไลน์: ไขมันในเลือดผิดปกติ/ไขมันในเลือดสูง

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มีอยู่หลายแบบและมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน ดังนี้

    ไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia) หมายถึง ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง (hypercholesterolemia) อันเนื่องมาจากแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง หรือไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia) หรือสูงทั้งสองอย่างร่วมกัน
    ไลโพโปรตีนในเลือดผิดปกติ (dyslipoproteinemia) หมายถึง ภาวะที่มีไลโพโปรตีนชนิดต่าง ๆ ในเลือดผิดปกติ ได้แก่ ภาวะแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “แอลดีแอลสูง (high LDL cholesterol/hyperbetalipoproteinemia)”, เอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “เอชดีแอลต่ำ (low HDL cholesterol/hypoalphalipoproteinemia)”

สำหรับเกณฑ์การตัดสินภาวะไขมันผิดปกติในเลือด ดูตารางในหัวข้อ “สาเหตุ”

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ อาจพบภาวะแอลดีแอลสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง หรือเอชดีแอลต่ำ เพียงแบบใดแบบหนึ่ง หรือพบ 2-3 แบบร่วมกันก็ได้

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งชักนำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (peripheral artery disease /PAD) ทั้งนี้ หากพบร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ก็จะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากยิ่งขึ้น

ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ พบได้บ่อยทั้งชายและหญิง พบมากในผู้ที่มีประวัติทางกรรมพันธุ์ อ้วนหรือลงพุง ชอบกินอาหารพวกไขมันมาก ๆ หรือทำงานเบา ๆ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน

สาเหตุ

1. เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ โดยมีพ่อแม่พี่น้องมีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย เรียกว่า ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติชนิดปฐมภูมิ (primary dyslipidemia) หรือชนิดครอบครัว (familial hyperlipidemia) ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีรูปร่างสมส่วน หรือผอม และการควบคุมอาหารอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้ทำให้ระดับไขมันในเลือดเป็นปกติ จำเป็นต้องใช้ยารักษา ผู้ป่วยอาจมีความผิดปกติของไขมันในเลือดหลายแบบร่วมกัน

2. ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติชนิดมีสาเหตุ หรือชนิดทุติยภูมิ (secondary dyslipidemia) มักมีสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีสาเหตุร่วมกัน ดังต่อไปนี้

    การบริโภคอาหารที่ทำให้ไขมันในเลือดผิดปกติ ได้แก่ 
         - ไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fat) เช่น ไขมันสัตว์ เนย เนื้อแดง เนื้อที่มีมันมาก หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์ หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (หอยนางรม กุ้ง ปู ปลาหมึก) เป็นต้น ทำให้แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง
         - ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งพบในไขมันพืช (ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว) ที่ถูกนำมาแปรรูปโดยการเติมไฮโดรเจน (hydrogenation) เข้าไปในโครงสร้างทางเคมี จนกลายเป็นไขมันอิ่มตัว ทำให้น้ำมันพืชที่แปรรูปนี้แข็งตัวและเก็บรักษาไว้ได้นาน นำมาผลิตเนยขาว (หรือเนยเทียม) มาการีน และครีมเทียม ซึ่งนิยมใช้ผสมในอาหาร ขนม (พวกเบเกอรี่ ขนมอบกรอบ อาหารทอด อาหารขบเคี้ยว) และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น คุกกี้ เค้ก โดนัท พาย ข้าวโพดคั่ว เวเฟอร์ แครกเกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด เครื่องดื่ม (ชา กาแฟ) ที่ใส่ครีมเทียม เป็นต้น นอกจากนี้ไขมันทรานส์ยังพบในอาหารที่ผ่านการทอดด้วยความร้อนสูง หรือทอดด้วยน้ำมันที่ใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ไขมันทรานส์มีผลทำให้แอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง และเอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ
         - อาหารที่ให้พลังงานเกินความต้องการของร่างกาย เช่น อาหารพวกแป้ง น้ำตาล ของหวาน ผลไม้รสหวาน น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

    ความอ้วน หรือเส้นรอบเอวเกิน (มีค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของส่วนสูง)
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
    การสูบบุหรี่ (ลดไขมันชนิดดี หรือเอชดีแอลคอเลสเตอรอล)
    การขาดการออกกำลังกาย
    โรคหรือภาวะการเจ็บป่วย เช่น เบาหวาน โรคคุชชิง ภาวะขาดไทรอยด์ โรคไตเนโฟรติก ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรังและโรคตับที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินน้ำดี (obstructive liver disease) การติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น
    การใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะ-กลุ่มไทอาไซด์ (thiazides), ยาลดความดัน-กลุ่มยาปิดกั้นบีตา, สเตียรอยด์, เอสโทรเจน (ยาเม็ดคุมกำเนิด), โพรเจสเทอโรน, ยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่ม protease inhibitors, ไซโคลสปอริน เป็นต้น

อาการ

ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ส่วนมากจะไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด

มักจะตรวจพบขณะตรวจเช็กสุขภาพ หรือขณะมาพบแพทย์ด้วยโรคบางอย่าง (เช่น เบาหวาน) หรือเมื่อมีอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น เจ็บหน้าอก (จากหลอดเลือดหัวใจตีบ) ปวดน่องเวลาเดินมาก ๆ (จากหลอดเลือดแดงขาตีบ) อัมพาต (จากหลอดเลือดสมองตับ) เป็นต้น

ในรายที่มีภาวะไขมันสูงมาก ๆ อาจพบตุ่มหรือแผ่นเนื้อเยื่อไขมันลักษณะสีเหลืองบนผิวหนัง (เช่น บริเวณหนังตา คอ หลัง สะโพก) เรียกว่า กระเหลือง (xanthoma) ถ้าพบที่บริเวณเส้นเอ็น (เอ็นร้อยหวาย เอ็นบริเวณหลังมือ) ก็อาจทำให้เส้นเอ็นมีลักษณะหนาตัว

นอกจากนี้ อาจพบลักษณะวงแหวนสีขาว ๆ ตรงขอบกระจกตาดำ (แบบที่พบในผู้สูงอายุ) เรียกว่า เส้นขอบกระจกตาวัยชรา (arcus senilis)


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ คือ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั่วทุกส่วนของร่างกาย

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดสมอง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต สมองเสื่อม

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขา ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ มีอาการปวดน่องเวลาเดินมาก ๆ เป็นตะคริว ปลายเท้าเย็น เป็นแผลเรื้อรังที่เท้า หรือปวดขาหรือปลายเท้า

ถ้าเกิดที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศในผู้ชายก็ทำให้เกิดภาวะองคชาตไม่แข็งตัว

นอกจากนี้ยังพบว่า อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)

ส่วนผู้ที่มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูงเกิน 2,000 มก./ดล.) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจพบระดับไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

แพทย์จะทำการตรวจเพื่อประเมินสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการเมตาบอลิก* รวมทั้งภาวะแทรกซ้อน และให้การดูแลรักษา โดยแนะนำการปรับพฤติกรรม (ดู “ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ” ในหัวข้อ “ข้อแนะนำ”) และให้การรักษาโรคหรือภาวะเสี่ยงที่พบร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำหนักเกิน เป็นต้น

ในรายที่ระดับไขมันสูงในขนาดที่ยังไม่ต้องให้ยาลดไขมัน จะให้ผู้ป่วยลองปรับพฤติกรรมนาน 3-6 เดือน หากควบคุมไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงค่อยพิจารณาให้ยาลดไขมัน

แพทย์จะให้ยารักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โดยพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (ได้แก่ 1. อายุ : ชายมากกว่า 45 ปี หญิงมากกว่า 55 ปี, 2. มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อนวัยอันควร : ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี, 3. สูบบุหรี่, 4. มีโรคความดันโลหิตสูง, 5. มีเอชดีแอล/HDL < 40 มก./ดล. แต่หากมีค่าเอชดีแอล/HDL ≥ 60 มก./ดล. ให้หักลบปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวออกไป 1 ข้อ) ร่วมกับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีด้วยการคำนวณ

ถ้ามีความเสี่ยงสูงก็จะให้ยาลดไขมันเมื่อมีระดับไขมันในเลือดต่ำกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และกำหนดเป้าของระดับไขมันในเลือดที่ต่ำกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ

อาทิ การใช้ยาลดไขมันที่มีชื่อว่าซิมวาสแตติน (simvastatin) มีเกณฑ์ ดังนี้**

    มีปัจจัยเสี่ยง 0-1 ข้อ จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 190 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 160 มก./ดล.
    กรณีมีปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป ให้ประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีจากการคำนวณ ***

      - ถ้ามีความเสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ 10 จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 160 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 130 มก./ดล.

      - ถ้ามีความเสี่ยงระหว่าง ร้อยละ 10-20 จะเริ่มให้ยาเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 130 มก./ดล.

      - ถ้ามีความเสี่ยงมากกว่าร้อยละ 20 จะเริ่มใช้ยาเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.
 

    ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือมีความเสี่ยงเทียบเท่าผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (ได้แก่ 1. เบาหวาน, 2. โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากสมองขาดเลือด (ischemic stroke) เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่คอมีการอุดกั้น, 3. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย, 4. หลอดเลือดแดงใหญ่โป่ง หรือ 5. ผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจใน 10 ปีจากการคำนวณ***  เกินกว่าร้อยละ 20) จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล.
    ผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จะเริ่มให้ยาลดไขมันเมื่อ LDL-C ≥ 100 มก./ดล. โดยมีเป้าหมายลดให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล. กรณีมีโรคหัวใจขาดเลือดรุนแรงลดให้ต่ำกว่า 70 มก./ดล.


หลังให้ยาลดไขมัน 6-12 สัปดาห์ แพทย์จะติดตามตรวจหาระดับไขมันในเลือด และตรวจซ้ำทุก 3-6 เดือน พร้อมทั้งเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากยา และตรวจเลือดหาระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เป็นครั้งคราว
 

*กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้
1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่
2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.
3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง
4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.
5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

**ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑

*** มีวิธีคำนวณได้หลายสูตร สำหรับ "ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑" แนะนำให้ใช้สูตร Framingham Coronary Heart Disease Risk Score โดยคำนวณจากอายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ค่าคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol) ค่าเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL) ค่าความดันโลหิตช่วงบน (systolic blood pressure) และประวัติการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (ดูวิธีคำนวณได้ที่นี่)

การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด หรือมีพ่อแม่พี่น้องเป็นไขมันในเลือดผิดปกติ หรือมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ถ้ายังไม่เคยตรวจระดับไขมันในเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับไขมันในเลือด

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไขมันในเลือดผิดปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ (ดู “ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ” ด้านล่าง)
    รักษา กินยาตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง รวมทั้งการใช้สมุนไพรและน้ำสมุนไพร เพราะอาจมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาด้านลบกับยาลดไขมันที่แพทย์ใช้รักษาอยู่ประจำ จนอาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ หากจำเป็นต้องใช้ยานอกจากยาที่ใช้ประจำหรือเมื่อมีอาการไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก หรือถ่ายปัสสาวะสีเข้มคล้ายสีน้ำปลาหรือโคล่า
    มีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มคล้ายสีขมิ้น) อ่อนเพลีย ไข้สูง เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    มีอาการอื่น ๆ ที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้ เช่น ลมพิษ ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น เป็นต้น

ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ

1. ปรับพฤติกรรมในการบริโภคอาหาร โดยควบคุมปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) จากไขมันเป็นร้อยละ 25-30 ของพลังงานทั้งหมด (โดยเป็นไขมันชนิดอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 ของพลังงานทั้งหมด และกินคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200-300 มก./วัน) พลังงานจากโปรตีนเป็นร้อยละ 12-15 ของพลังงานทั้งหมด ที่เหลือร้อยละ 55-65 เป็นพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต (ทางที่ดีควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เมล็ดธัญพืช) ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังนี้

    งดหนังสัตว์ และเครื่องในสัตว์ทุกชนิด
    ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่ (เช่น หมู วัว) และหันมากินโปรตีนจากปลา ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (เช่น เต้าหู้) แทนเป็นประจำ
    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือกินได้เล็กน้อยเป็นครั้งคราว ได้แก่ อาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวสูง เช่น หมูสามชั้น ขาหมู น้ำแกงต้มกระดูกหรือเนื้อสัตว์ ข้าวมันไก่ เป็ดย่าง แหนม แฮม หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (หอยนางรม กุ้ง ปู ปลาหมึก)
    ถ้านิยมดื่มนม ควรใช้นมพร่องมันเนย
    บริโภคน้ำมันถั่วเหลือง วันละ 1.5-2.5 ช้อนโต๊ะ โดยใช้น้ำมันชนิดนี้ปรุงอาหารที่บ้าน เพราะจะมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดที่ช่วยลดระดับแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด
    หลีกเลี่ยงการกินของทอดด้วยน้ำมันพืชซ้ำหลาย ๆ ครั้ง (เช่น มันฝรั่งทอด ปาท่องโก๋ เปาะเปี๊ยะ ทอดมัน) รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีไขมันทรานส์ เช่น  เบเกอรี่ มาการีน เนยขาว (เนยเทียม) ครีมเทียม ขนมอบกรอบ เป็นต้น
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ ทุกมื้อ รวมทั้งเมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ถั่วต่าง ๆ) ซึ่งมีเส้นใย (fiber) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย
    กินรำข้าวโอ๊ต เมล็ดแมงลัก หรือสารเพิ่มกากใย
    กินกระเทียมสดวันละ 1-2 หัวใหญ่ (สับโรยกินกับข้าว หรือผสมในน้ำจิ้มก็ได้) มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
    ควรลดการบริโภคน้ำตาลและของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อยครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง หรือวันเว้นวัน จะช่วยเพิ่มเอชดีแอลคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล

3. ถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินให้ลดน้ำหนักตัว

4. งดสูบบุหรี่

5. งดหรือลดดื่มแอลกอฮอล์ ในรายที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ควรงดโดยเด็ดขาด

6. หาวิธีคลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ สวดมนต์ ทำงานอดิเรก เป็นต้น ความเครียดเป็นปัจจัยเสริมทำให้ไขมันในเลือดสูงในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง

7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ไขมันในเลือดสูง เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาปิดกั้นบีตา ยาเม็ดคุมกำเนิด สเตียรอยด์ เป็นต้น หากจำเป็น ควรให้แพทย์พิจารณา

การป้องกัน

    ลดการกินอาหารพวกไขมันชนิดอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง และงดกินไขมันทรานส์
    ลดการกินน้ำตาล ของหวาน ผลไม้รสหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม
    กินผักผลไม้และเมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ไม่สูบบุหรี่
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

ข้อแนะนำ

1. ไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia) ที่สำคัญมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ (1) ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (2) แอลดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดร้าย) สูง (3) เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดดี) ต่ำ

คำว่า "ไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia)" ทางแพทย์นั้นหมายถึงแบบที่ (1) และ (2) เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึงแบบที่ (3) เนื่องเพราะเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ไขมันชนิดดี) สูงนั้นมีผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งตรงกันข้ามกับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ ซึ่งถือว่าผิดปกติ เพราะมีผลเสียต่อสุขภาพ

แต่เนื่องจากโดยทั่วไปพบแบบที่ (1) และ (2) บ่อย จึงนิยมใช้คำว่า "ไขมันในเลือดสูง" จนคุ้นปาก และเป็นที่เข้าใจกันว่า "ไขมันในเลือดสูง" มีความหมายเดียวกับ "ไขมันในเลือดผิดปกติ" ซึ่งหมายรวมถึงความผิดปกติทั้ง 3 แบบ

ดังนั้น เมื่อตรวจพบว่ามี "ไขมันในเลือดสูง" ต้องแยกแยะให้ออกว่า เป็นไขมันในเลือดผิดปกติแบบใด เป็นชนิดไม่ดี (แอลดีแอลคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์) ที่สูง หรือ ชนิดดี (เอชดีแอลคอเลสเตอรอล) ที่ต่ำ หากไขมันชนิดดีสูง ไม่นับว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ

2. เนื่องจากภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ มักไม่มีอาการแสดงเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่ามีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี ก็ควรตรวจเช็กไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปทุก 5 ปี

ในการตรวจเช็กไขมันในเลือด ควรอดอาหาร (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 12 ชั่วโมง และในระยะ 3 สัปดาห์ก่อนตรวจ ควรมีน้ำหนักตัวคงที่ บริโภคอาหาร เครื่องดื่ม และทำกิจวัตรประจำวันตามปกติที่เคยทำ ทั้งนี้จะได้พบว่า พฤติกรรมที่เป็นนิสัยปกตินั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือดหรือยัง

ถ้าผลเลือดปกติ สำหรับกลุ่มเสี่ยงควรตรวจซ้ำทุก 1-3 ปี ส่วนผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงควรตรวจทุก 5 ปี

3. แม้ว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะมีความเสี่ยงสูงต่อการมีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ แต่ผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติหรือผอม หากมีปัจจัยเสี่ยงก็อาจมีภาวะดังกล่าวได้ หากไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ก็อาจเกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงมาก

4. ผู้ที่มีไขมันในเลือดผิดปกติ ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับไขมันให้ได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาการเมตาบอลิก) ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

5. การรักษาโรคนี้จำเป็นต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมเป็นพื้นฐาน หากไม่ได้ผลก็ควรใช้ยาลดไขมันควบคู่กันไป โดยแพทย์จะทำการเลือกใช้ยาและปรับขนาดของยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย

โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาลดไขมันกลุ่มสแตติน (ได้แก่ ซิมวาสแตติน) เป็นอันดับแรก ถ้ามีผลข้างเคียงหรือไม่ได้ผล แพทย์จะเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นในกลุ่มสแตติน (เช่น อะทอร์วาสแตติน) และ/หรือเพิ่มยาลดไขมันกลุ่มอื่น (เช่น กรดนิโคตินิก, คอเลสไทรามีน, ยากลุ่มไฟเบรต เป็นต้น )

6. ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มสแตติน ได้แก่ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออักเสบ หรือมีระดับเอนไซม์ตับในเลือดสูง (ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นตับอักเสบ) 

ที่ร้ายแรง คือ ถ้าใช้ร่วมกับยาอื่น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (rhabdomyolysis มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง และปัสสาวะเป็นสีน้ำปลาหรือโคล่า) ซึ่งทำให้ไตวายเฉียบพลัน เป็นภาวะอันตรายร้ายแรงได้ 

การใช้ยาซิมวาสแตตินจึงมีข้อห้ามใช้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมัน-เจมไฟโบรซิล (gemfibrocil), อีริโทรไมซิน, คลาริโทรไมซิน, ไอทราโคนาโซล, คีโทโคนาโซล, ไซโคสปอริน, ยาต้านไวรัสกลุ่ม protease inhibitors เป็นต้น

15
เที่ยววัดหินหมากเป้ง วัดดัง หนองคาย ที่เที่ยวอีสาน วิวสวย เงียบสงบ ริมฝั่งโขง

อีสาน จัดได้ว่าเป็นแหล่งของ วัดดัง สายมู ต่างๆ เลยค่ะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะพลาดไป ที่เที่ยวหนองคาย อย่าง วัดหินหมากเป้ง ที่เราจะไปกันในวันนี้ บอกเลยว่าทั้งสวยงดงาม ร่มรื่น และมีวิวสวยๆ อยู่ริมโขงอีกด้วย ปักหมุดตามพิกัดเรามาได้เลยค่า

 
ประวัติ วัดหินหมากเป้ง

วัดหินหมากเป้ง เป็นหนึ่งใน วัดดัง ของ หนองคาย ตั้งอยู่ที่ บ้านไทยเจริญ ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งคำว่า หินหมากเป้ง นั้นจะเป็นชื่อของหินสามก้อน ที่ตั้งเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดนั่นเองค่ะ ลักษณะจะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำในสมัยก่อนนั่นเอง


ชาวบ้านในพื้นที่ก็จะเรียกว่า เต็ง หรือ เป้งย้อย ซึ่งคำว่า หมากเป้ง เป็นภาษาอีสาน หมายถึง ผลไม้หรืออะไรก็ตามที่เป็นลูกผลค่ะ และ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น พระอริยสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ได้เป็นคนที่จัดตั้งให้ที่ วัดหินหมากเป้ง แห่งนี้ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ ภิกษุสงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลายค่ะ

 
อีกทั้งบริเวณโดยรอบ วัดหินหมากเป้ง ก็มีความเงียบสงบ ร่มรื่น เพราะมีต้นไม้นานาพันธุ์ รวมถึงมีพื้นที่ติดริมแม่น้ำโขงอีกด้วย เลยทำให้วัดแห่งนี้ทั้งสวยงามและเงียบสงบนั่นเองค่ะ และมีการได้รับการจัดตั้งให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2523 อีกด้วย

 
มาดูไฮไลท์สวยๆ ของวัดนี้บ้าง ก็มีตั้งแต่ มณฑปอนุสรณ์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระราชนิโรธรังสีฯ เมรุหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พิพิธภัณฑ์ และ ศาลาหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งในสถานที่แต่ละแห่งนั้น ก็จะมีการจัดแสดงวัตถุและเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์เอาไว้ ทั้ง อัฐิ รูปปั้น เครื่องอัฐบริขาร ของใช้ และชีวประวัติของหลวงปู่เทสก์ค่ะ แวะมาสักการะเยือน วัดดัง แห่งนี้ของ หนองคาย กันนะคะ

 
รวมถึงวัดแห่งนี้ ยังมี สกายวอล์คกระจกใส ที่ตั้งอยู่ริมโขงเอาไว้ให้เราไปชมวิวแม่น้ำโขงกันสวยๆ อีกด้วยค่ะ และถ้าอยู่บนสกายวอล์คเราสามารถมองเห็นวัดใน สปป.ลาว ได้ด้วย รวมถึงสองฝั่งโขงไทย-ลาวบอกเลยว่าใครอยากชมวิวแบบหวาดเสียวหน่อยๆ ก็ไม่ควรต้องพลาดเลยจริงๆ ค่ะ     


การเดินทาง มายัง วัดหินหมากเป้ง

ถ้าตรงมาจากตัวเมืองเลย ก็ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 211 (หนองคาย-ศรีเชียงใหม่) มาได้เลยค่ะ เราจะเจอกับ วัดหินหมากเป้ง ทางด้านขวา ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 64 ริมถนนค่ะ ซึ่งจะอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 75 กิโลเมตรนั่นเอง

 
ข้อมูล วัดหินหมากเป้ง หนองคาย

    ที่อยู่ : ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
    เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
    โทร : -
    เว็บไซต์ : -

หน้า: [1] 2 3 ... 34